Jack Ma แห่ง Alibaba

Jack Ma นั้น เกิดเมื่อวันที่ 10 กันยายน ปี 1964 เกิดที่ประเทศจีน มณฑลเจ้อเจียง(Zhejiang) เมืองหางโจว(Hangzhou) โดยเกิดมาในครอบครัวยากจน Jack Ma จึงต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตนเอง
Jack Ma ขึ้นทำเนียบเป็นมหาเศรษฐีระดับโลก  ด้วยการเป็นเจ้าของทรัพย์สินมูลค่ากว่า 39 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 1.2 ล้านล้านบาท จากเด็กธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ที่เติบโตมาในครอบครัวที่ยากจน ผลการเรียนเข้าขั้นห่วย ที่แม้กระทั่ง KFC ยังไม่รับเข้าทำงาน เป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ 5 ปี สู่การเป็นมหาเศรษฐีที่สร้างฐานะขึ้นมาด้วยลำแข้งของตนเอง

ในวัยเด็กเขาสอบตกจากการประเมินผลการเรียนรู้ระดับชาติซ้ำ ๆ เช่นสอบตก 2 ครั้งในช่วงประถม, 3 ครั้งในช่วงมัธยม และ 2 ครั้งสำหรับการสอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่นั่นไม่ได้เป็นการปิดกั้นแจ๊คหม่าในห่างจากการเรียนรู้  แจ๊ค หม่า คิดอยู่เสมอว่าเขาสามารถสอนตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบการศึกษาในโรงเรียน

ในช่วงวัยรุ่น  แจ็ค หม่า เข้าใจในข้อจำกัดของตัวเองเรื่องทักษะภาษาอังกฤษ  ซึ่งเขาเชื่อมั่นว่ามันจะสร้างสิ่งใหม่ให้เกิดกับชีวิตเขาได้อย่างแน่นอน  ตอนเรียนจบชั้นมัธยมและเตรียมตัวสอบเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย แจ็ค หม่าพยายามที่จะสมัครเรียนในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด หลายสิบครั้งและถูกปฏิเสธมาทุกครั้ง  อาจจะด้วยความสารถในการใช้ภาษาอังกฤษยังไม่ดีพอจนกระทั่งเขาตัดใจและบอกตัวเองว่า ‘สักวันหนึ่งฉันจะต้องไปสอนที่นั่นให้ได้’

แจ็ค หม่า จัดการกับข้อจำกัดในเรื่องภาษาอังกฤษของตัวเอง  โดยการปั่นจักรยานกว่า 45 นาที เข้าไปในเมืองทุกวันเพื่อเป็นไกด์อาสานำนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเที่ยวไปรอบเมืองด้วยภาษาอังกฤษแบบงู ๆ ปลา ๆ ดำน้ำไปเรื่อย ๆ และในระหว่างนั้นเขาไม่ลืมที่จะพกปากกาเพื่อบันทึกความผิดพลาด  และความรู้ใหม่ของตัวเองอยู่เสมอ

แจ็ค หม่า ทำซ้ำ ๆ แบบนี้ทุกวัน จนกระทั่งเกิดเป็นทักษะการพูดคุยภาษาอังกฤษจนเชี่ยวชาญ  และมันก็เป็นเส้นทางที่ทำให้เขาเลือกที่จะสอบเข้าสถาบันครูในเมืองหางโจวและเรียนจนกระทั่งจบปริญญาตรีในสาขาเอกวิชาภาษาอังกฤษ  ได้เป็นอาจารย์สอนวิชาภาษาอังกฤษและการค้าระหว่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยหางโจว

ด้วยความที่ แจ็ค หม่า มีวิสัยทัศน์ที่ไม่เหมือนใคร  แม้กระทั่งตอนที่เขาเป็นครูก็เป็นครูนอกตำรา เขาไม่เคยอยู่ในกรอบ ไม่แม้แต่การเตรียมการสอน  เขาใช้วิธีสอนตามแต่ละสถานการณ์ ณ ขณะนั้น นักศึกษาจึงรู้สึกสนุกกับรูปแบบการสอนของเขา แม้มันจะเป็นงานที่ดี แต่นั่นก็ไม่ใช่เส้นทางที่ แจ็ค หม่า ต้องการ  เขาเป็นครูอยู่เพียง 5 ปี ก็ลาออกเพื่อจะเดินทางตามแนวความเชื่อของตัวเอง

เส้นทางทำธุรกิจออนไลน์ของ แจ็ค หม่า เกิดขึ้นมาเมื่อตอนที่เขารู้จักกับอินเตอร์เน็ตครั้งแรก ในช่วงที่เขาเป็นอาจารย์เขาได้เริ่มดำเนินธุรกิจให้บริการด้านการแปล และมีโอกาสไปเป็นล่ามที่สหรัฐอเมริกาครั้งแรกในปี 1995 และที่นั่นเป็นการเปิดโลกให้ แจ็ค หม่า ได้รู้จักกับอินเตอร์เน็ต และเขาก็รู้สึกแปลกใจมากเมื่อพบว่า สินค้ามากมายที่บนโลกอินเตอร์เน็ตซึ่งผลิตมาจากประเทศจีน แต่กลับไม่มีชื่อของตัวแทนจากจีนเป็นผู้ขาย และตอนนั้นเองที่เขาได้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่มีศักยภาพของอินเทอร์เน็ต และวิธีการที่จะช่วยให้วิสาหกิจจีนเติบโตและจีนจะสามารถทำธุรกิจกับส่วนอื่น ๆ ที่เหลือบนโลกใบนี้ได้

และหลังจากที่ แจ็ค หม่า กลับมาที่ประเทศจีน ในเดือนเมษายน ปี 1995 เขาได้รวบรวมเงินจากกลุ่มเพื่อน ๆ เป็นจำนวนเงินประมาณ 20,000 เหรียญฯ (ราว ๆ 6 แสนบาท) เพื่อเปิดตัวเว็บไซต์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จีนและธุรกิจจีนออนไลน์ ในชื่อ “China Yellow Pages” ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่จดทะเบียนธุรกิจของจีนและผลิตภัณฑ์ขายผลิตภัณฑ์ของจีนเท่านั้น แม้ว่ามันจะได้การตอบรับที่ดีแต่รายได้มันไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมรายจ่าย แจ็ค หม่า จึงตัดสินใจระดมทุนจากหน่วยงานของรัฐ โดยให้การรัฐบาลจีนเป็นหุ้นส่วนใหญ่ จนผ่านไป 3 ปี บริษัทเขาก็สามารถแทงบอลออนไลน์ทำเงินได้กว่า 5 ล้านหยวน หรือราว ๆ กว่า 24 ล้านบาท แต่น่าเสียดายที่ในยุคนั้นยังอยู่ภายใต้การนำของรัฐบาลที่เข้มงวด อีกทั้งยังยับยั้งการพัฒนาตามแนวความคิดของเขาที่จะทำการค้ากับนานาประเทศ ทำให้ในที่สุดแจ็คหม่าก็ตัดสินใจเดินออกมาจาก China Yellow Pages

จนกระทั่งใน ปี 1999 Jack Ma กับเพื่อน ๆ รวม 18 คน ได้ก่อตั้ง Alibaba ขึ้นมา โดยมีเงินทุนที่ช่วยกันลงขันราว ๆ 500,000 หยวน (หรือประมาณ 2.5 ล้านบาท) เพื่อที่จะสร้างศูนย์รวมการทำการค้าระหว่าง Business-to-Business (B2B) หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นเว็บไซต์ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจแต่ละแห่งได้มีโอกาสซื้อขายกัน โดยเน้นที่การขายส่งเป็นจำนวนมาก

ในช่วงระหว่างปี 1999-2000 นี้นี่เองที่ Alibaba ได้รับเงินทุนจากต่างประเทศจำนวน 25 ล้านเหรียญฯ (ราว ๆ กว่า 700 ล้านบาท) โดยจุดประสงค์ของเงินทุนก้อนนี้ Jack Ma จะต้องทำให้ตลาด E-commerce ในจีนขยายตัวให้ได้มากที่สุด และสร้างเว็บไซต์แพลตฟอร์มที่แข็งแกร่งขึ้นมา โดยเน้นไปที่กลุ่มของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) เพื่อผลักดันให้สามารถแข่งขันกับการค้าระดับโลกอย่าง World Trade Organization (WTO) หรือ องค์การการค้าโลก ได้ในที่สุด

ในปี 2003 Jack Ma รุกหนักด้านอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัวเว็บไซต์ที่ชื่อว่า Taobao.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ค้าขายออนไลน์แบบ Business-to-Consumer (B2C) ที่เปิดโอกาสให้พ่อค้าแม่ค้าชาวจีนมาขายของออนไลน์ โดยเป้าหมายต้องการที่จะเป็น eBay ในเวอร์ชั่นเอเชีย และนอกจากนั้นยังเปิดตัวระบบจ่ายเงินออนไลน์ที่ชื่อ Alipay โดยมีเป้าหมายคือการเป็นระบบชำระเงินออนไลน์อย่าง Paypal ในเวอร์ชั่นเอเชียเช่นกัน

ในปี 2004 มีข่าวว่า eBay ได้ยื่นข้อเสนอในการเข้าซื้อกิจการของ Taobao แต่ Jack Ma ได้ปฏิเสธไป เพราะในระหว่างปี 2005 เขาก็ได้รับการเสนอเงินทุนจาก Jerry Yang ผู้ก่อตั้ง Yahoo! ซึ่งเป็นชาวจีนด้วยกัน ด้วยจำนวนเงินถึง 1 พันล้านเหรียญฯ (หรือราว ๆ 3 หมื่นล้านบาท) เพื่อแลกกับการถือหุ้นใน Alibaba 40%

จนกระทั่งในปี 2006 eBay ก็ต้องยอมถอยทัพออกจากจีนไป เพราะไม่สามารถต่อกรกับ Taobao ได้นั่นเอง

ในเดือนสิงหาคม ปี 2014 มีรายงานว่า Jack Ma กลายเป็นคนที่ร่ำรวยที่สุดในจีนด้วยทรัพย์สิน $21.8 B (หรือราว ๆ กว่า 6 แสนล้านบาท)

และในวันที่ 19 กันยายน ปี 2014 นี้นี่เอง Jack Ma ก็ได้นำ Alibaba เข้าตลาดหุ้นที่อเมริกาในตลาด New York Set และระดมทุนได้กว่า $25 B (หรือราว ๆ กว่า 7.8 แสนล้านบาท) ส่งผลให้ในปี 2016 Jack Ma กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชียด้วยทรัพย์สินมูลค่า $33.3 B (ราว ๆ 1 ล้านล้านบาท) และในปี 2018 Jack Ma มีทรัพย์สินอยู่ที่ $39.3 B (ราว ๆ 1.2 ล้านล้านบาท) กลายเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 20 ของโลกในที่สุด

แจ็ค หม่า มีประสบการณ์การถูกปฏิเสธงานครั้งแล้วครั้งเล่า มีหลายคนที่รู้ว่าเขาเคยสมัครงานมากว่า 30 งาน  แล้วถูกปฏิเสธทั้งหมด แม้กระทั่งการสัมภาษณ์งานในร้าน KFC ที่มีผู้เข้ารับการสัมภาษณ์ทั้งหมด 24 คน และมีเขาเพียงคนเดียวที่ถูกปฏิเสธ (แต่ในปัจจุบันนั้นเขาได้กลายเป็นเจ้าของ KFC ในประเทศจีนไปซะแล้ว โดยมีเรื่องเล่ากันขำ ๆ ว่า ณ วันหนึ่ง Jack Ma อยากกิน KFC จึงวานให้เลขาไปซื้อมาให้ เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที เลขาก็กลับมาพร้อมกับรายงาน Jack Ma ว่าดิฉันได้ซื้อ KFC ในราคา 460 ล้านดอลล่าร์ เรียบร้อยแล้วค่ะ (ราว ๆ 14,000 ล้านบาท) )

นิตยสาร Forbes จัดอันดับมหาเศรษฐีโลกในปี 2018 ที่ผ่านมา พบว่า เป็นครั้งแรกที่ ufabet มหาเศรษฐีชาวจีนติดอันดับ 20 แรกของลิสต์ นอกจากนั้น จำนวนเศรษฐีที่เพิ่มมากขึ้นยังอยู่ที่จีน ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา

ครั้งแรกที่อันดับ 20 มหาเศรษฐีของ Forbes เป็นชาวจีน
ในการจัดอันดับมหาเศรษฐีของนิตยสาร Forbes ในปี 2018 ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 32 ความน่าสนใจคือ เป็นครั้งแรกที่มีมหาเศรษฐีชาวจีนติดใน 20 อันดับแรกของลิสต์ แถมติดอันดับถึง 2 คน

คนแรกคือ Pony Ma แห่ง Tencent ขึ้นอันดับ 17 ของลิสต์มหาเศรษฐีของ Forbes โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสูงถึง 4.53 หมื่นล้านดอลลาร์ (1.4 ล้านล้านบาท) ปัจจัยสำคัญมาจากการที่ธุรกิจเกม และ WeChat มีการเติบโตสูงมากในปีที่ผ่านมา นอกจากนั้น เขาได้ยังขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของเอเชียอีกด้วย

ปีที่ผ่านมายังนับได้ว่าเป็นปีทองของ Tencent ด้วยเช่นกัน เพราะมีมูลค่าตลาดพุ่งไปถึง 5.17 แสนล้านดอลลาร์ แซงหน้า Facebook ไปเรียบร้อย
คนที่สองคือ Jack Ma แห่ง Alibaba อยู่ในอันดับที่ 20 พอดิบพอดี มูลค่าทรัพย์สินที่เขาครอบครองอยู่ที่ 3.9 หมื่นล้านดอลลาร์ (1.2 ล้านล้านบาท) ปัจจัยสำคัญมาจากการพุ่งขึ้นของหุ้นของ Alibaba ถึง 76% ในปีที่ผ่านมา

ข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจ
ปีที่ผ่านมาเศรษฐีจากทั่วโลกที่ Forbes จัดอันดับจำนวนกว่า 2,208 คน เมื่อนำมาคิดคำนวณมูลค่าสุทธิรวมกัน รวมแล้วอยู่ที่ 9.1 ล้านล้านดอลลาร์ สูงกว่าปี 2017 ที่ผ่านมาที่มีอยู่ที่ 7.7 ล้านล้านดอลลาร์

ในปีที่ผ่านมา มีมหาเศรษฐีจีนเพิ่มขึ้นถึง 89 คน ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีเพิ่ม 18 คนเท่านั้น แต่ถ้านับรวมมหาเศรษฐีทั้งประเทศ สหรัฐอเมริกายังคงมากกว่า เพราะมีมากถึง 585 คน ส่วนจีนแผ่นดินใหญ่ นับรวมฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวันยังมีอยู่เพียง 476 คน แม้จะตามหลังมา แต่ต้องบอกว่าช่องว่างระหว่าง 2 ประเทศนี้แคบลงทุกที

อย่างไรก็ตาม มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกขณะนี้ตกเป็นของเจ้าพ่ออีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ Jeff Bezos แห่ง Amazon ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสูงถึง 1.12 แสนล้านดอลลาร์ ถือเป็นบุคคลแรกของศตวรรษที่ 21 ที่มีมูลค่าทรัพย์สินถึงหลัก 1 แสนล้านดอลลาร์เป็นคนแรกของโลก แซงหน้า Bill Gates แห่ง Microsoft (อันดับ 2) ที่มีอยู่ที่ 9 หมื่นล้านดอลลาร์ และ Warren Buffett พ่อมดนักลงทุนแห่ง Berkshire Hathaway (อันดับ 3) ที่มีมูลค่าทรัพย์สินอยู่ที่ 8.4 หมื่นล้าน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

แนวคิดความสำเร็จ ของ Pierre Omidyar ผู้ก่อตั้ง eBay

นับแคลยังไงให้ผอม